All-new McLaren Artura 2021
ซูเปอร์คาร์ไฮบริด สุดประหยัด

All-new McLaren Artura 2021 ซูเปอร์คาร์ไฮบริด สุดประหยัด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 680 แรงม้า เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในอาเซียนที่ประเทศไทย ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.0 วินาที เคาะราคาจำหน่ายเริ่มต้น 16,700,000 บาท เป็นรถที่ทาง slotxo123.online อยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกัน

All-new McLaren Artura 2021
ซูเปอร์คาร์ไฮบริด สุดประหยัด

ครั้งแรกของ McLaren

McLaren Artura คือรถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล Supercar ( กลุ่มเดียวกับพวก 700 Series ) และยังเป็นซูเปอร์คาร์รุ่นแรกของ McLaren ที่ได้บรรจุเทคโนโลยี Hybrid ลงไป 

จนช่วยรีดเค้นแรงม้าออกมาได้มากถึง 680 ตัว แรงบิดสูงสุด 720 นิวตันเมตร จากเครื่องยนต์ 6 สูบวี อกกว้าง กาง 120 องศา ขนาดเพียง 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ บล็อกใหม่ และมอเตอร์ไฟฟ้า

โดย McLaren Artura นั้น สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 3 วินาที แถมยังได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 18 กม./ลิตร ( ตามมาตรฐานการทดสอบ EU WLTP ) เป็นไฮไลต์ เพราะสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร

ดีไซน์ไม่สำคัญเท่าตัวเลข

ด้วยแนวคิดของ McLaren ตัวเลขผลลัพธ์สำคัญกว่าดีไซน์เสมอ และ McLaren Artura 2021 ใหม่ ก็ยังยึดปรัชญา “ form follows function ” 

ให้ความสำคัญกับตัวเลขของสมรรถนะมากกว่าความสวยงาม นอกจากนี้ McLaren Artura 2021 จะเป็นซูเปอร์คาร์รุ่นแรกที่ใช้สถาปัตยกรรมโครงสร้างน้ำหนักเบา 

MCLA ( McLaren Carbon Lightweight Architecture ) อะลูมิเนียมผสมคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้มีน้ำหนักตัวเพียง 1,498 กิโลกรัม หรือม้า 1 ตัว จะแบกน้ำหนักแค่ประมาณ 2.2 กิโลกรัมเท่านั้น

McLaren Artura
McLaren Artura
McLaren Artura

โหมดขับเคลื่อน 4 รูปแบบ

  • E-Mode วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน
  • Comfort Mode เน้นใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเครื่องยนต์จะตัดการทำงานอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำกว่า 40 กม./ชม. ปล่อยให้ E-Motor ทำงานแทน 
  • Sport Mode และ Track Mode มุ่งเน้นการขับขี่ ซึ่ง E-Motor จะช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองไวและอัตราเร่งกระฉับกระเฉงขึ้น

มั่นใจในทุกสถานการณ์

นอกจากพละกำลังแล้ว สิ่งที่ McLaren Artura 2021 ให้ความสำคัญคือการขับขี่ขั้นสุด ในทุกสถานการณ์ ทั้งบนถนนหรือแม้แต่บนสนามยามเอาลง Track Day 

ด้วยเทคโนโลยีและประสบการณ์ในสนามแข่ง เช่น เสถียรภาพของตัวรถขณะเบรก ด้วยการสร้างแรงกดท้ายรถเพิ่มแรงยึดเกาะของล้อคู่หลัง

หรือการเลือกติดตั้ง E-Diff เพื่อกระจายแรงบิดระหว่างล้อหลังได้อย่างอิสระขณะเข้าโค้ง แถมยังมีน้ำหนักเบากว่า Diff-Lock แบบกลไก รวมถึงระบบกันสะเทือนที่ออกแบบมาเพื่อลดอาการ understeer เมื่อเดินคันเร่งในโค้ง